วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การเสียดินแดนทั้ง 14 ครั้งของประเทศไทย

การเสียดินแดนของประเทศไทยในอดีตทั้ง 14 ครั้ง..สร้างความเจ็บปวดให้กับคนไทยอย่างไม่สามารถไม่บรรยายได้
(แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าปัจจุบันต้องเสียอีก คนไทยจะยังรู้สึกอะไรกันอยู่หรือเปล่า???)

การเสียดินแดนทั้ง 14 ครั้งมีดังนี้

ครั้งที่ 1 เกาะหมาก(ปีนัง) เสียให้กับประเทศอังกฤษ เมื่อ 11 สิงหาคม 2329 พื้นที่ 375 ตร.กม. ในสมัย ร.1 เกิดจาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป

ครั้งที่ 2 มะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้กับพม่า เมื่อ 16 มกราคม 2336 พื้นที่ 55,000 ตร.กม. ในสมัย ร.1 แต่เดิมเป็นของไทยครั้งสมัยสุโขทัย มังสัจจา เจ้าเมืองทวายเป็นไส้ศึกให้พม่า รัชกาลที่ 1 ไม่สามารถตีคืนจากพม่าได้ ประกอบกับชาวเมืองทวายไม่พอใจกองทัพไทยที่เข้ายึดครอง จึงตกเป็นของพม่าไป

ครั้งที่ 3 บันทายมาศ(ฮาเตียน) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.2336 ในสมัยรัชกาลที่ 2

ครั้งที่ 4 แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่าเมื่อ พ.ศ.2368 พื้นที่ 62,000 ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ 3    แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ 20 ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และ เกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้(กลันตัน ไทรบุรี) ไทยจึงห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีกำลังใจจะยึดครอง หลังจากนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เชียงตุงก็เป็นของอังกฤษโดยสิ้นเชิง

ครั้งที่ 5 รัฐเปรัค ให้กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง 1 ปี

ครั้งที่ 6 สิบสองปันนา ให้กับจีนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2397 พื้นที่ 90,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง) แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่พร้อมเพรียงกัน  มาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท (ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป

ครั้งที่ 7 เขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2410 พื้นที่ 124,000 ตร.กม. ในสมัย ร.4 ฝรั่งเศส บังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนเขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ 15 มกราคม 2438 โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับ การดำเนินนโยบายของ ร.5 ที่ไปประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทย ฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป

ครั้งที่ 8 สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ  22 ธันวาคม 2431 พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อ ก่อกบฏ ไทยจัดกำลังไปปราบ 2 กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้ว ก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุด ไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง(เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ

ครั้งที่ 9 ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษในสมัย รัชกาลที่ 5 ในห้วงปี 2433 เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

ครั้งที่ 10 ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ 3 ตุลาคม 2436 พื้นที่ 143,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย 1 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก 3 ล้านบาท และยังไม่พอฝรั่งเศสได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง 15 ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่อง แต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.5  เป็นค่าปรับ ร.5 ต้องนำถุงแดง(เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้

ครั้งที่ 11 ฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน,จำปาศักดิ์   ,มโนไพร)ให้กับฝรั่งเศสเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2446 พื้นที่ 25,500 ตร.กม. ในสมัย.ร.5ไทยทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก 5 ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำบ้านนาดี,ด่านซ้าย จ.เลย และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย

ครั้งที่ 12 มลฑลบูรพา(พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ 23 2449 พื้นที่ 51,000 ตร.กม. ในสมัย ร.5 ไทยได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ 6 กรกฎาคม 2450 กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย

ครั้งที่ 13 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เสียหัวเมืองมลายู 
(รัฐกลันตัน ตรังกานู ปะลิส และไทรบุรี) เมื่อ พ.ศ. 2451 ให้กับอังกฤษ 
จำนวนพื้นที่ 80,000 ตารางกิโลเมตร
เพื่อแลกกับอังกฤษยกเลิกสิทธิภาพนอกอาณาเขต 
และให้ไทยกู้เงินเพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย

ครั้งที่ 14 เขาพระวิหาร ให้กับเขมรเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 พื้นที่ 2 ตร.กม. ในสมัย ร.9 ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร   ในสมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน จึงนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงต่อศาลโลก

รวมพื้นที่ที่เสียไป 782,877 ตร.กม. 
จากพื้นที่ 1,294,992 ตร.กม. ในอดีต 
ปัจจุบันเรามีพื้นที่ให้เหยียบกันอยู่เพียง 512,115 ตร.กม.เหลือน้อยกว่าที่เราเสียไปซะอีก

ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1288995#ixzz1D12XwiyV


เพิ่มเติมเมื่อคราวเสียเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศส

ไทยเราเคยเสียเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2446 

คนเมืองตราดร้องไห้และเจ็บปวดในการเสียอธิปไตย
                ในตอนนี้ข้าหลวงฝ่ายไทยกับบรรดาข้าราชการผู้ที่ได้ไปรู้เห็นในการนี้ต่างก็พากันกลับและให้คนของฝ่ายเราปลดเอาธงช้างมาเท่านั้น กล่าวกันว่าในวันนั้นพวกไทยเราถึงกับพากันน้ำตาตกและเต็มตื้นไปด้วยกันทุกคน ทั้งนี้ย่อมจะเป็นความจริงเหตุว่า จังหวัดตราดเป็นบ้านเมืองของไทย พลเมืองก็เป็นคนไทย ในประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏว่าจังหวัดนี้ได้เคยเสียความเป็นอิสระตกไปอยู่ในความยึดถือของชาติหนึ่งชาติใดเลย ก็เมื่อจังหวัดตราดอันเป็นเมืองของไทยเราได้ปกครองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต้องมาเสียความเป็นไทยตกอยู่ในมืองของคนต่างชาติ ( กล่าวคือฝรั่งเศส) เช่นนี้แล้วก็ย่อมจะทำให้พวกเราคนไทยพากันมีความรู้สึกโทรมนัสเสียดายและเสียใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา

นายเจียร จินตกานนท์ ผู้อาวุโสของเมืองตราดที่ล่วงลับไปแล้ว ได้เล่าว่า " เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองตราด เราถูกบังคับใช้เชิญธงช้างลง ชาวบ้านน้ำตาไหล ยกชายผ้าถุง ชายผ้าขาวม้าขึ้นซับน้ำตา เพราะธงชาติไทยนั้นหมายถึง ความเป็นคนไทย เราไม่รู้ว่า จะมีวันที่ได้กลับมาเป็นคนไทย ได้เชิญธงไทยขึ้นอีกหรือไม่ ในวันที่เสด็จพ่อร.5 ได้นำความเป็นคนไทยคืนกลับมา คือวันที่ 23 มีนาคม 2449 นั้น ชาวเมืองตราดได้เห็น ธงช้าง เชิญสู่ยอดเสาอีกครั้ง ลุกเด็กเล็กแดง คนเฒ่าคนแก่ ร้องไห้ ก้มลงกราบ ธงชาติไทย ธงช้างจึงมีความหมายต่อชาวเมืองตราด "


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=288245




เห็นหรือยังว่าการเสียดินแดนในแต่ละครั้งนั้น คนไทยต้องเจ็บปวดมากขนาดนั้น
แต่ที่ต้องเสียพื้นที่ส่วนน้อยไปเพื่อแลกกับการรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่ให้แก่ลูกหลาน


แล้วลูกหลานในตอนนี้ล่ะ?????


หรือต้องมีการเสียดินแดนครั้งที่ 15 ก่อน...ลูกหลานถึงจะกลับมามีสำนึกรักในบ้านเกิดเมืองนอก 
หรือต้องให้การเสียดินแดนครั้งที่ 15 เป็นสิ่งกระตุ้นจิตสำนึกให้ลูกหลานได้มีความรักชาติ รักบ้านเมือง และปกป้องประเทศชาติ ปกป้องแผ่นดินทองผืนนี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น